| eng | thai |

Mandalay

Mandalay, Myanmar

เราเดินทางจากสนามบินดอนเมืองมาถึงเมืองมัณฑะเลย์ (Mandalay) ประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง (ตามเวลาท้องถิ่น) วุ่นวายกับการแลกตังค์และหาซิมการ์ดอีกตามเคย (ครั้งนี้ที่เราไป ค่าเงินของพม่าอยู่ที่ 1,364 MMK ต่อ 1 USD) เรานั่งรถตู้เข้าเมืองตกคนละ 4,000 MMK ซึ่งถ้าใครต้องการเดินทางจากสนามบินแบบประหยัดหน่อย ก็ไปแชร์กันกับคนอื่น แทนที่จะนั่งแท็กซี่คนเดียวเข้าเมือง

การเดินทางในเมืองพม่านั้นไม่ยากอย่างที่คิด เขาจะมีวินมอร์ไซต์แต่ว่าเขาไม่มีเสื้อกั๊กสีส้มอะไรนั่นหรอกนะ แค่จะมีคนตะโกนถามตลอดว่าจะไปไหน ส่วนราคานั้นขึ้นอยู่กับสกิลการต่อรอง หรือการเดินทางอีกอย่างที่คนนิยมกันคือ ไปกับแท็กซี่หรือรถตู้ แบบที่เหมารายวัน หรือว่าครึ่งวันแล้วแต่โปรแกรมที่อยากไป ราคาเริ่มต้นที่ 30,000 MMK

วัดแรกที่เราไปเยื่อนนั้น เราขึ้นวินมอร์ไซต์ไปที่ Kuthodaw Pagoda (ကုသိုလ်တော်ဘုရား)วัดที่มีพระไตรปิฎกถึง 84,000 พระธรรมขันธ์สลักบนหินอ่อน 729 แผ่น ถูกสร้างครอบไว้ด้วยเจดีย์สีขาว ตั้งไว้บริเวณโดยรอบวัด ถือได้ว่าเป็นวัดที่ยิ่งใหญ่ และสวยงามเป็นอย่างมาก รวมทั้งร้อนมากด้วย เพราะที่นี่เขาถอดรองเท้าไว้หน้าวัด ใครจะไปพม่าก็ควรจะใส่รองเท้าแตะไป ถอดง่ายใส่ง่าย

  Kuthodaw Pagoda   Lotus at Kuthodaw Pagoda

ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายสอง​ เราไปหาอะไรกินแถวหน้าวัด เพราะแถวนั้นเขามีร้านอาหารตามข้างทาง และด้วยความที่เราพูดภาษาพม่าไม่ได้เน๊อะ เราก็ใช้วิธีการสั่งแบบจิ้มๆ ชี้ๆ เอา สิ่งที่เราได้คือซามูซ่า (Samosa) ของทอดที่ใส่ไส้ผักต่างๆ เหมือนของอินเดีย แต่สิ่งที่เรากินนั้น คนพม่าเขาเอามาตัดแล้วใส่ผักพวกกะหล่ำปลี หอมใหญ่ มะเขือเทศ แล้วก็ปรุงรสเข้าไป เขาเรียก Samosa Salad ก็มีความอร่อยไปอีกแบบ

   Samosa Salad

ในพม่านั้นวัดเป็นส่วนสำคัญมาก และคนพม่ากว่า 80% นับถือศาสนาพุทธ ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเดินไปทางไหนก็จะเจอวัดหรือเจดีย์ต่างๆ นี่ก็เช่นกันเราเดินเท้าจากวัดนึงไปอีกวัดนึงสบายๆ วัดที่เราไปต่อกันชื่อ Sandamuni Pagoda (စန္ဒာမုနိဘုရား) วัดที่คล้ายกับวัดแรกที่เราไป วัดนี้มีมณฑปสีขาวเรียงรายกันเต็มไปหมด ด้านในคือคำอรรถาธิบายพระไตรปิฎกสลักลงบนแผ่นหินจำนวน 1,774 แผ่น และวัดนี้สำคัญตรงที่มีพระสันตมุนีประดิษฐานอยู่ เลยตั้งชื่อวัดตามพระพุทธรูปนั่นไง

   Sandamuni Buddha Image
  Sandamuni Pagoda   Cat in Sandamuni Pagoda

วัด Kyauk Taw Gyi Phaya เป็นวัดที่เราเดินไปเจ๊อะเข้า วัดนี้มีพระพุทธรูปสีขาวองค์ใหญ่และมีไฟนีออนประดับอยู่รอบๆ สวยงามอยู่เหมือนกัน เราใช้เวลาตรงนั้นไม่นานเพราะเราจะขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกดินบน Mandalay Hill ยอดเขาเก่าแก่ของที่นี่ เป็นชื่อที่มีมานานจนเขาเอาชื่อภูเขามาตั้งชื่อเมือง บนยอดเขานั้นมีวัด Su Taung Pyae Pagoda (ဆုတောင်းပြည့်ဘုရား) ตั้งตระง่าอยู่ด้านบน นักท่องเที่ยวนิยมมาดูพระอาทิตย์ตกดินกันที่นี่ เรานั่งมอร์ไซต์ซ้อนสามกันขึ้นไป ตอนแรกก็คิดว่าจะไหวหรอ แบรนดอนคนเดียวก็เต็มคันแล้วนะคะลุง ลุงบอกลุงไหว ไหวก็ไปกัน ซึ่งความคิดแรกนั้นเราจะเดินกันขึ้นไป เพราะเขามีบันไดขึ้นไปยังยอดเขา และมีคนมาเดินออกกำลังกายกันเยอะแยะ แต่ระหว่างทางที่เราขับรถผ่านนั้น คิดในใจว่า ถ้าเดินขึ้นก็ไม่ได้ดูพระอาทิตย์ตกแน่ๆ แถมเปียกฝนด้วย เพราะมันทั้งไกลและฝนตกหนักมาก

   Kyauk Taw Gyi Phaya
  Raining at Mandalay Hill   Rainbow
   Su Taung Pyae Pagoda
   Another temple
   Mandalay Hill's view
  Sunset at Mandalay Hill   Neon on Pagoda

ในอีกวันที่มัณฑะเลย์ แน่นอนว่าเราต้องไป Mandalay Palace สถานที่ท่องเที่ยวที่ใครมาที่มัณฑะเลย์แล้ว ต้องไปเยี่ยมเยียนพระราชวังสักครั้ง พระราชวังนี้เคยถูกระเบิดสมัยสงครามมาแล้ว ดังนั้นอาคารส่วนใหญ่จึงถูกบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ สิ่งที่สะดุดตาก็คือหลังคาหลายๆ ชั้นของพระราชวัง เป็นเอกลักษณ์สำคัญของวังที่พม่า และ Watch Tower ที่สามารถเดินขึ้นไปชมวิวของพระราชวังจากมุมสูงได้

   Mandalay Palace
  Watch Tower   Gam with Burma's dress

เราเหมาแท็กซี่ครึ่งวันไปที่ Shwenandaw Monastery วัดไม้สักที่สวยสดงดงามด้วยไม้สักแกะสลัก โชว์ความสามารถในการแกะสลักของคนพม่าเป็นอย่างดี และเราก็ไปวัด Maha Myat Muni Buddha Image (မဟာမုနိဘုရားကြီး) วัดที่มีพิธีกรรมในการล้างหน้าพระพุทธรูปทุกวันตอนเวลาตีสี่ แน่นอนว่าเราไม่ได้ตื่นไปดู เราไปดูตอนสี่โมงเย็นแทน นอกจากนี้พระพุทธรูปที่นี่ยังมีผิวขรุขระที่สุด เนื่องจากผู้ที่มากราบไหว้แปะทองคำเปลวชั้นแล้วชั้นเล่าจนไม่สามารถเห็นผิวที่แท้จริงของพระพุทธรูป (อนุญาติแค่ผู้ชายที่สามารถเข้าไปปิดทองคำเปลวได้)

  Shwenandaw Monastery   Maha Myat Muni Buddha Image

สุดท้ายแล้วเราไปดูสะพานอูเบ็ง (U Bein Bridge, ဦးပိန် တံတား) สะพานข้ามแม่น้ำที่สร้างด้วยไม้สัก มีระยะทาง 1.2 กิโลเมตร เป็นสะพานไม้ที่เก่าที่สุด สร้างขึ้นเมื่อปี 1850 หรือกว่าหนึ่งร้อยหกสิบกว่าปี

  U Bein Bridge   Boat tour in U Bein Bridge
  View of U Bein Bridge   Watching Sunset

วันสุดท้ายที่นี่ เรานัดกับทัวร์รถตู้เพื่อไปเที่ยวเมืองสะกาย (Sagaing) เมืองติดแม่น้ำอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเมืองมัณฑะเลย์ เมืองที่มีคนนับถือศาสนาพุทธกันเยอะมาก ดังนั้นริมฝั่งแม่น้ำจึงเต็มไปด้วยเจดีย์น้อยใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้น เราไปที่ Soon U Ponya Shin Pagoda (ဆွမ်းဦးပုညရှင်စေတီ) เป็นวัดที่มีกระเบื้องสีหวานมาก และวัด U Min Thonze Caves (ဥမင္သုံးဆယ္ဘုရား) วัดที่มีพระพุทธรูปประมาณ 45 องค์ด้านในอุโมงค์ ที่เขาสร้างให้ลักษณะเหมือนถ้ำ วันที่เราไปนั้นฝนตก ทำให้มองวิวไม่ค่อยชัด แต่เชื่อว่าถ้าเป็นวันอากาศดีแล้วละก็ มองวิวลงมาก็คงสวยไม่เบา

   Soon U Ponya Shin Pagoda
   U Min Thonze Caves

หลังจากนั้นเขาไปปล่อยเราที่ท่าเรือ เพื่อนั่งเรือไปเมืองอังวะหรืออินวะ (Innwa) เขาต้อนเราขึ้นรถม้า เพื่อไปดูวัดในเมือง คิดค่ารถม้าคันละ 10,000 MMK เมืองอังวะนี้เคยเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมาก่อน แต่หลังจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้เมืองนี้ถูกปล่อยปละละเลย ถึงตอนนี้กลายเป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวไปในที่สุด

สำหรับวัดที่เราได้ไปดูก็มี Daw Gyan Pagoda Complex วัดที่เราขอลงไปเดินดูเอง ด้านในไม่มีอะไรมาก, Bagaya Monastery เป็นวัดไม้สักเหมือนวัดในมัณฑะเลย์แต่ว่าทรุดโทรมกว่ามาก, Yandana Sinme Pagoda วัดนี้โดนไฟไหม้และเหลือแต่ซากปรักหักพัง, Nanmyin Tower เป็นหอคอยที่ไม่ได้อนุญาตให้ขึ้นไปเนื่องจากดูแล้วน่าจะพังได้ และวัดสุดท้ายคือ မဟာဘောဓိအောင်‌မြေ ဆုတောင်းပြည့် ไม่รู้ว่าภาษาอังกฤษว่ายังไง วัดนี้เป็นวัดสีเหลืองสวยงาม เป็นวัดที่มีขนาดใหญ่อยู่เหมือนกัน เรานั่งปุเลงปุเลงบนรถม้าจนบ่าย เพื่อกลับไปเตรียมตัวเดินทางไปยังเมืองต่อไปด้วยรถบัส

   Carriage
  Daw Gyan Pagoda Complex   Yandana Sinme Pagoda

Trip: อาหารพม่าตามโรงน้ำชาที่ผู้ชายพม่านิยมไปนั่งจิบชากันยามบ่ายนั้น เข้าไปแล้วสั่ง Shan Noodle ดูนะ เป็นอาหารที่เราชื่นชอบมาก

Vieques

Vieques, Puerto Rico

สัปดาห์ที่ผ่านมาเราไปกันที่ Vieques ทริปนี้ล่อซะป่วยเลย เนื่องจากเต้นท์ข้างๆ คุยกันยันตีสาม อดหลับอดนอนเลยทีเดียว

เราแชร์ Uber ไปกับรูมเมท เพื่อนใหม่ห้องข้างๆ ใน Airbnb คนนึงเป็นคนเยอรมัน อีกคนเป็นคนเวเนซูเอล่า ชื่อ Victor และ Maria

เราไปเหมือนเดิม ไปขึ้นเรือ ferry ที่ Fajardo แล้วก็เดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง (โต้คลื่นกระจาย เกือบให้อาหารปลาแระเรา)

ให้ข้อมูลนิดนึง…Vieques เป็นเกาะใหญ่กว่า Culebra และคนน้อยกว่า แบบว่ามันไม่ค่อยดังเท่ากับอีกที่นึง ซึ่งถามว่า Vieques มีอะไรน่าเที่ยว มันมีบีชที่เรียกว่า Bioluminescent หรือเรียกว่าทะเลเรืองแสง อยู่บนหาดชื่อ Mosquito เวลากลางคืน ทะเลจะเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเรืองแสง นอกจากนี้ยังมีชายหาดชื่อว่า Playa Negra เป็นชายหาดสีดำ ด้วยความที่ทรายเป็นทรายที่ปนกับการปะทุของภูเขาไฟเมื่อนานนานมาแล้ว

ครั้งนี้เราเดินทางตอนกลางวันของเย็นวันศุกร์ที่ 10 มีนาคม หลังจากถึงเกาะแล้ว เราก็ขึ้น Taxi คนละ $3 ไปที่ Sun Bay สำหรับกางเต้นท์ กางเต้นท์ที่นี่เสียค่ากางคืนละ $10 ถือว่าถูกกว่าอีกที่มาก

สำหรับใครที่อยากไปกางเต้นท์แบบไม่ต้องเสียเงิน ข้างๆ บีช Sun Bay เขามีพวกชายหาดที่ไม่มีคนเฝ้า ก็ต้องแบกน้ำแบกอาหารไปเอง แต่ว่าได้ความเป็นส่วนตัวมากๆ และไม่ต้องเสียเงินใดๆ ถ้าไปกันหลายคน เราขอแนะนำวิธีนี้…ประหยัดมาก

หลังจากไปถึง Sun Bay และเล่นน้ำเบาๆ เราก็เดินไปดูพระอาทิตย์ตกแถวๆ นั้น และเข้านอนเพื่อเช้าที่สดใส

ตื่นเช้ามาพวกเราก็เดินไปที่ตัวเมือง Esperanza ผ่านโรงแรมที่ชื่อว่า El Blok มีความแนวๆ อ่ะ ใครอยากไปแบบสบายๆ หน่อย ก็พักที่นี่ได้ แล้วเราก็หาอะไรกินแถวๆ นั้น มันมีร้าน Bakery ที่อยู่ข้างๆ ร้านสะดวกซื้อ อันนี้ถือว่าดี

หลังจากอิ่มท้อง เราก็พร้อมเดินต่อ เราเดินกันไปที่ Playa Negra ชายหาดที่มีสีดำ แม่เจ้าาาสีดำจริงๆ เราก็เล่นน้ำ พอกตัว พอกหน้าด้วยทรายดำกันใหญ่ ที่จริงก็ดำอยู่แล้ว แต่ก็นะ ยังอยากดำกว่านี้อีก

ระหว่างเดินไปหลายๆ ที่ เราจะเห็นม้าเยอะมาก เกาะนี้ขึ้นชื่อว่ามีม้าเยอะมาก เป็นม้าแบบอยู่ในป่าด้วย ไม่ใช่ม้าชาวบ้านเลี้ยง เอ้…เขากินม้ารึเปล่านะ ฮ่าๆ ล้อเล่นนะ

หลังจากเล่นน้ำกันจนตัวดำบนหาดสีดำแล้ว เราไปอีกบีชนึง ชื่อว่า Caracas เป็นชื่อเมืองหลวงในเวเนซูเอล่า และสาวที่เราไปด้วยมาจากเมืองนี้ นางอยากไปบีชนี้ และถ่ายรูปกับป้าย นั่นคือเหตุผล

เราไม่ได้ไป Playa Mosquito ที่มีทะเลเรืองแสง เพราะดันไปตอนพระจันทร์เต็มดวง สว่างสุกใส ไม่ต้องใช้ไฟฉายเลย นั่นทำให้การดูทะเลเรืองแสงไม่ได้ ใครอยากไปดูจริงๆ ต้องเช็คด้วยว่าเป็นคืนเดือนมืดนะคะ ไม่งั้นจะอดดูแบบเรา

และคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่เราจะอยู่ด้วยกัน เลยผิงไฟกันเบาๆ และความรู้ใหม่ที่ได้มาจากการจุดไฟนั้น คือ Off spray ช่วยคุณได้ ถ้าการจุดไฟมันยุ่งยากน่าลำบากขนาดนั้นละก็นะ

ท้ายที่สุดนี้ เราได้เรียนรู้สิ่งๆ หนึ่งคือการ hitchhike ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ เพราะคนที่รับเรานั้น ส่วนใหญ่แล้ว Cool อ่ะ แล้วเขาก็มีเรื่อง Cool Cool มาเล่าให้เราฟังไง ยูลองทำนะ แต่แนะนำทำในเมกานะ ในไทยเราก็ไม่กล้าอยู่ดีอ่ะ

สรุปกลับบ้านอย่างปลอดภัยสำหรับทริปนี้ สวัสดีค่ะ

จบ.

Culebra

Culebra, Puerto Rico

สัปดาห์นี้เราไปเที่ยวเกาะกัน เกาะใหญ่ๆ ที่คนเขาไปเที่ยวใน Puerto Rico มีอยู่สองเกาะด้วยกัน นั่นคือ Culebra กับ Viques โดยการเดินทางไปนั้น เราไปด้วย Uber จาก San Juan ไปถึง Fajardo ประมาณ $60 แล้วก็ต่อ Ferry ไปที่เกาะ ราคา Ferry ไม่แพงอย่างที่คิด ประมาณ $2 ถ้าไป Viques แต่ถ้าไป Culebra ก็ $2.50 แพงกว่านิดนึง เพราะส่วนใหญ่คนไป Culebra กันเยอะ

Canal in Culebra
Ferry at the Port in Culebra Boats in harbor at culebra

แต่ก็นั่นแหละ เราจะไป Viques กัน แต่ว่าพอเราไปถึง Ferry ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาประมาณห้าโมงเย็น คนขายตั๋วบอกว่ารอบเรือที่จะไป Viques คือ สองทุ่มครึ่ง แต่ถ้าไป Culebra รอบต่อไปประมาณหนึ่งทุ่ม ซึ่งเราก็ขี้เกียจรอ บวกกับคนขับแท็กซี่ก็เชียร์ Culebra จังเลย บอกว่าการซื้อตั๋วไป Culebra มันยากมากๆ เลยนะ นางเคยต้องมากางเต็นท์รอเพื่อซื้อตั๋วไปเลย ซึ่งตอนที่เราซื้อตั๋ว มันก็ไม่ได้ยากแบบนาง (สงสัยเราโชคดี) ก็เลยอะเคจบที่ Culebra หนึ่งไม่ต้องรอนาน สอง..ฉันอยากเห็นไอ้ที่นางพร่ำบอกว่าบีชมันสวยมากๆ เลยนะแกร์ มันเป็นยังไง

เอาละเราข้ามการต่อคิวที่ Ferry ลงเรือ และข้ามไปที่เกาะ เพราะมันมืดและมองไม่เห็นอะไรอยู่ดี

Chicken Zaccos Tacos

คืนวันแรกถือว่าทรมานดีมาก เพราะเราไม่ได้เอาฟูกนอนไปเลย แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร Survivor ต้องถึก ตื่นเช้ามาไปนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นสวยเบอร์ 1 เลยทีเดียว (สวยเบอร์ 1 คือ สวยมากๆ นิยามด้วยตัวเอง) นึกภาพตามนะคะ แบบก้อนเมฆเหมือนสายไหมลอยละลานตา แล้วก็ตอนแรกมันเป็นสีขาวนะ แต่ว่าพอพระอาทิตย์ไต่ขึ้นจากภูเขา ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีชมพู ฟ้า ม่วงพาสเทลอ่ะ แล้วก็สีพวกนั้นก็ไปแตะก้อนเมฆน้อยใหญ่ให้เป็นสีชมพูพาสเทล แบบโอ้วววโห้ววว วิวสุดยอดอ่ะ ฟินเลย

Playa Flamenco with sun rising

พระอาทิตย์ขึ้น สวยงามกว่าในรูปมากๆ จนอยากกลับไปนั่งดูอีกครั้ง

หลังจากนั้นเราก็หิว (ของแน่ ทริปแดก) บริเวณตั้งเต้นท์เขามีพวกร้านอาหารหยิบๆ ย่อยๆ ฝรั่งเรียก Kiosk เราก็กินแซนวิสแฮมชีสไข่ ซึ่งก็โอเคนะ แล้วเราก็ไปนั่งรอแท็กซี่ นั่งรอสักพัก มีผู้ชายใจดีให้พวกเราติดรถเข้าไปในตัวเมือง เลยไปกับเขาด้วย พี่แกชื่อ Tim แกมาอยู่สักพักแระ (อยู่ขนาดมีรถขับ) แกมาดำน้ำ กางเต้นท์อยู่ แล้วก็แกแนะนำที่ดำน้ำ แล้วแกก็แนะนำสถานที่เช่ารถด้วย เพราะถ้าเดินก็คงไม่เห็นทะเลกันพอดี กว่าจะเดินถึง พวกเราสองคนก็เลยโอเคเช่ารถละกัน พี่ทิมเลยปล่อยพวกเราลงแถวๆ ที่เขามีให้เช่ารถ เดินรอบๆ ไม่มีเจ้าไหนมีรถให้เช่าเลยแหะ ทุกคนเช่ากันไปหมดแล้ว ตอนแรกเราถอดใจแล้ว แต่พอดีเห็นป้ายบริษัทที่เช่าอีกที่ มันอยู่ในซอยเล็กๆ พอเดินไปถึง เขายังมีพวกรถกอล์ฟให้เช่า เราก็เลยได้เช่า

เอาละมีรถแล้ว…เราก็ขับไปที่ๆ พี่ทิมบอกว่าดำน้ำแล้วสวยมากๆ ยูต้องไป สถานที่ดำ Snorkeling ชื่อ Playa Tamarindo ซึ่งก็สวยจริงๆ เจอน้องเต่าทะเลกำลังกินข้าวเช้าประมาณ 10 ตัวได้ ฟินรอบสอง หลังจากดำผุดดำว่ายอยู่เกือบสองชั่วโมง เราก็ไปต่อที่เกาะอื่นๆ กัน โบกมือลาน้องเต่า..

เราเข้าไปในตัวเมืองซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ทุกอย่างดูเหมือนสร้างเพื่อให้นักท่องเที่ยวเท่านั้น เราว่ามันลดเสน่ห์ของที่นี่ไปนิดนึง เอาละเกือบเที่ยง เราเจอร้านอาหารชื่อ Dinghy Dock ติดริมน้ำ บรรยากาศดี อาหารถือว่าเฉยๆ ไม่ฟูฟ่าเท่าวิว ความรู้ใหม่…ปลาที่มาว่ายอยู่ใกล้ๆ ท่าน้ำนั้น ของชอบคือ เฟรนฟราย! โอ้วมายยย

Picture of Dinghy Dock restaurant Picture of Dinghy Dock restaurant
Picture of Dinghy Dock restaurant

หลังจากนั้นเราก็ขับไปตอนใต้ของเกาะ Playa Punta de Soldado มันมีที่ Snokeling อยู่นะ แต่เราหาทางโดดเข้าไปในทะเลไม่ได้จริงๆ เม่นทะเลเต็มไปหมด อดเลย. แล้วก็เราเลยขับไปทางตะวันออกของเกาะ ไปที่บีชชื่อ Playa Zoni อันนี้ก็สวยมากกก แบรนดอน requests บีชนี้นะคะ นางชอบมาก มีทั้งทรายนุ่มๆ แล้วก็สามารถ Snokeling ได้ด้วย ยิงปืนนัดเดียว.

ตกเย็นเราไปกินข้าวเย็นที่ Zaco’s Tacos บรรยากาศร้านดีมาก อันนี้ต้องบอกต่อ (ร้านอาหารอยู่ในตัวเมืองค่ะ) หลังจากท้องอิ่มก็กลับที่พัก นอนดูดาว และเข้านอน

ตื่นเช้ามาอีกวัน…วันนี้คือวันที่ขี้เกียจ เราอยู่กันที่ Playa Flamenco ทั้งวัน บีชนี้ดีตรงที่มันเป็นอ่าว มีทั้งคลื่นแรง และคลื่นธรรมดา เลือกได้ตามความชอบ เราขอรวบรัดตัดตอนนิดนึงนะคะ เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่ขี้เกียจของพวกเราจริงๆ อาบแดด อาบฝน ทั้งวัน และไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ Krusty Krab (ร้านปิด) แต่วิวของเขาสวยมาก เป็นสถานที่ดูพระอาทิตย์ตกดินที่เจ๋งมาก ระหว่างทางขึ้นไปก็ไม่ใช่เล่นๆ ถ้ายิ่งขับรถกอล์ฟแล้วด้วยนะ เสียวรถหงายหลังเพราะทางชันมาก ถ้าเดินไปแนะนำว่าใส่รองเท้าดีๆ นะคะ โน Flip flop

Picture of Dinghy Dock restaurant
Playa Punta de Soldado Playa Flamenco with tank

วันสุดท้ายของทริป Culebra แล้ว เราจะไม่มีรถแล้วต้องเดินล้าววว เรากินอาหารเช้าที่ La Pista นั่งดูเครื่องบินบินขึ้นบินลง - เราลืมบอกไปว่าตรงกลางเกาะ มีสนามบิน และคุณสามารถเดินทางไปที่เกาะด้วยเครื่องบิน แทนเรือ Ferry ค่าเดินทางของเครื่องบินรอบนึงก็ $70 กว่าค่ะ แล้วแต่ความชอบและเงินในกระเป๋า

เราไปนั่งรอ Ferry ขากลับ โดยเอากระเป๋าต่อคิว และกว่าเรือจะพร้อม หลังจากนั้นเราก็ยืนรอในแถวไปเรื่อยๆๆ แบรนดอนด้วยความเป็นคน Friendly มาก นางก็คุยกับคู่วัยรุ่นชายหญิงข้างหน้าว่า “ยูๆ กลับ San Juan รึเปล่า อยากแชร์ค่าโดยสารมั๊ย?” วัยรุ่นบอกว่าพวกเขาขับรถมา แต่ถ้าอยากไปด้วยก็ได้นะ รถอาจจะแคบเพราะของ แต่เราสองคนติดรถไปด้วยได้….สรุปเราโชคดีมากครับ ไม่ต้องจ่ายค่าแท็กซี่ขากลับ! เริ่ด! แต้งกิ้ววววแบรนดอน!

จบ.