Mandalay
เราเดินทางจากสนามบินดอนเมืองมาถึงเมืองมัณฑะเลย์ (Mandalay) ประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง (ตามเวลาท้องถิ่น) วุ่นวายกับการแลกตังค์และหาซิมการ์ดอีกตามเคย (ครั้งนี้ที่เราไป ค่าเงินของพม่าอยู่ที่ 1,364 MMK ต่อ 1 USD) เรานั่งรถตู้เข้าเมืองตกคนละ 4,000 MMK ซึ่งถ้าใครต้องการเดินทางจากสนามบินแบบประหยัดหน่อย ก็ไปแชร์กันกับคนอื่น แทนที่จะนั่งแท็กซี่คนเดียวเข้าเมือง
การเดินทางในเมืองพม่านั้นไม่ยากอย่างที่คิด เขาจะมีวินมอร์ไซต์แต่ว่าเขาไม่มีเสื้อกั๊กสีส้มอะไรนั่นหรอกนะ แค่จะมีคนตะโกนถามตลอดว่าจะไปไหน ส่วนราคานั้นขึ้นอยู่กับสกิลการต่อรอง หรือการเดินทางอีกอย่างที่คนนิยมกันคือ ไปกับแท็กซี่หรือรถตู้ แบบที่เหมารายวัน หรือว่าครึ่งวันแล้วแต่โปรแกรมที่อยากไป ราคาเริ่มต้นที่ 30,000 MMK
วัดแรกที่เราไปเยื่อนนั้น เราขึ้นวินมอร์ไซต์ไปที่ Kuthodaw Pagoda (ကုသိုလ်တော်ဘုရား)วัดที่มีพระไตรปิฎกถึง 84,000 พระธรรมขันธ์สลักบนหินอ่อน 729 แผ่น ถูกสร้างครอบไว้ด้วยเจดีย์สีขาว ตั้งไว้บริเวณโดยรอบวัด ถือได้ว่าเป็นวัดที่ยิ่งใหญ่ และสวยงามเป็นอย่างมาก รวมทั้งร้อนมากด้วย เพราะที่นี่เขาถอดรองเท้าไว้หน้าวัด ใครจะไปพม่าก็ควรจะใส่รองเท้าแตะไป ถอดง่ายใส่ง่าย
ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายสอง เราไปหาอะไรกินแถวหน้าวัด เพราะแถวนั้นเขามีร้านอาหารตามข้างทาง และด้วยความที่เราพูดภาษาพม่าไม่ได้เน๊อะ เราก็ใช้วิธีการสั่งแบบจิ้มๆ ชี้ๆ เอา สิ่งที่เราได้คือซามูซ่า (Samosa) ของทอดที่ใส่ไส้ผักต่างๆ เหมือนของอินเดีย แต่สิ่งที่เรากินนั้น คนพม่าเขาเอามาตัดแล้วใส่ผักพวกกะหล่ำปลี หอมใหญ่ มะเขือเทศ แล้วก็ปรุงรสเข้าไป เขาเรียก Samosa Salad ก็มีความอร่อยไปอีกแบบ
ในพม่านั้นวัดเป็นส่วนสำคัญมาก และคนพม่ากว่า 80% นับถือศาสนาพุทธ ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเดินไปทางไหนก็จะเจอวัดหรือเจดีย์ต่างๆ นี่ก็เช่นกันเราเดินเท้าจากวัดนึงไปอีกวัดนึงสบายๆ วัดที่เราไปต่อกันชื่อ Sandamuni Pagoda (စန္ဒာမုနိဘုရား) วัดที่คล้ายกับวัดแรกที่เราไป วัดนี้มีมณฑปสีขาวเรียงรายกันเต็มไปหมด ด้านในคือคำอรรถาธิบายพระไตรปิฎกสลักลงบนแผ่นหินจำนวน 1,774 แผ่น และวัดนี้สำคัญตรงที่มีพระสันตมุนีประดิษฐานอยู่ เลยตั้งชื่อวัดตามพระพุทธรูปนั่นไง
วัด Kyauk Taw Gyi Phaya เป็นวัดที่เราเดินไปเจ๊อะเข้า วัดนี้มีพระพุทธรูปสีขาวองค์ใหญ่และมีไฟนีออนประดับอยู่รอบๆ สวยงามอยู่เหมือนกัน เราใช้เวลาตรงนั้นไม่นานเพราะเราจะขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกดินบน Mandalay Hill ยอดเขาเก่าแก่ของที่นี่ เป็นชื่อที่มีมานานจนเขาเอาชื่อภูเขามาตั้งชื่อเมือง บนยอดเขานั้นมีวัด Su Taung Pyae Pagoda (ဆုတောင်းပြည့်ဘုရား) ตั้งตระง่าอยู่ด้านบน นักท่องเที่ยวนิยมมาดูพระอาทิตย์ตกดินกันที่นี่ เรานั่งมอร์ไซต์ซ้อนสามกันขึ้นไป ตอนแรกก็คิดว่าจะไหวหรอ แบรนดอนคนเดียวก็เต็มคันแล้วนะคะลุง ลุงบอกลุงไหว ไหวก็ไปกัน ซึ่งความคิดแรกนั้นเราจะเดินกันขึ้นไป เพราะเขามีบันไดขึ้นไปยังยอดเขา และมีคนมาเดินออกกำลังกายกันเยอะแยะ แต่ระหว่างทางที่เราขับรถผ่านนั้น คิดในใจว่า ถ้าเดินขึ้นก็ไม่ได้ดูพระอาทิตย์ตกแน่ๆ แถมเปียกฝนด้วย เพราะมันทั้งไกลและฝนตกหนักมาก
ในอีกวันที่มัณฑะเลย์ แน่นอนว่าเราต้องไป Mandalay Palace สถานที่ท่องเที่ยวที่ใครมาที่มัณฑะเลย์แล้ว ต้องไปเยี่ยมเยียนพระราชวังสักครั้ง พระราชวังนี้เคยถูกระเบิดสมัยสงครามมาแล้ว ดังนั้นอาคารส่วนใหญ่จึงถูกบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ สิ่งที่สะดุดตาก็คือหลังคาหลายๆ ชั้นของพระราชวัง เป็นเอกลักษณ์สำคัญของวังที่พม่า และ Watch Tower ที่สามารถเดินขึ้นไปชมวิวของพระราชวังจากมุมสูงได้
เราเหมาแท็กซี่ครึ่งวันไปที่ Shwenandaw Monastery วัดไม้สักที่สวยสดงดงามด้วยไม้สักแกะสลัก โชว์ความสามารถในการแกะสลักของคนพม่าเป็นอย่างดี และเราก็ไปวัด Maha Myat Muni Buddha Image (မဟာမုနိဘုရားကြီး) วัดที่มีพิธีกรรมในการล้างหน้าพระพุทธรูปทุกวันตอนเวลาตีสี่ แน่นอนว่าเราไม่ได้ตื่นไปดู เราไปดูตอนสี่โมงเย็นแทน นอกจากนี้พระพุทธรูปที่นี่ยังมีผิวขรุขระที่สุด เนื่องจากผู้ที่มากราบไหว้แปะทองคำเปลวชั้นแล้วชั้นเล่าจนไม่สามารถเห็นผิวที่แท้จริงของพระพุทธรูป (อนุญาติแค่ผู้ชายที่สามารถเข้าไปปิดทองคำเปลวได้)
สุดท้ายแล้วเราไปดูสะพานอูเบ็ง (U Bein Bridge, ဦးပိန် တံတား) สะพานข้ามแม่น้ำที่สร้างด้วยไม้สัก มีระยะทาง 1.2 กิโลเมตร เป็นสะพานไม้ที่เก่าที่สุด สร้างขึ้นเมื่อปี 1850 หรือกว่าหนึ่งร้อยหกสิบกว่าปี
วันสุดท้ายที่นี่ เรานัดกับทัวร์รถตู้เพื่อไปเที่ยวเมืองสะกาย (Sagaing) เมืองติดแม่น้ำอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเมืองมัณฑะเลย์ เมืองที่มีคนนับถือศาสนาพุทธกันเยอะมาก ดังนั้นริมฝั่งแม่น้ำจึงเต็มไปด้วยเจดีย์น้อยใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้น เราไปที่ Soon U Ponya Shin Pagoda (ဆွမ်းဦးပုညရှင်စေတီ) เป็นวัดที่มีกระเบื้องสีหวานมาก และวัด U Min Thonze Caves (ဥမင္သုံးဆယ္ဘုရား) วัดที่มีพระพุทธรูปประมาณ 45 องค์ด้านในอุโมงค์ ที่เขาสร้างให้ลักษณะเหมือนถ้ำ วันที่เราไปนั้นฝนตก ทำให้มองวิวไม่ค่อยชัด แต่เชื่อว่าถ้าเป็นวันอากาศดีแล้วละก็ มองวิวลงมาก็คงสวยไม่เบา
หลังจากนั้นเขาไปปล่อยเราที่ท่าเรือ เพื่อนั่งเรือไปเมืองอังวะหรืออินวะ (Innwa) เขาต้อนเราขึ้นรถม้า เพื่อไปดูวัดในเมือง คิดค่ารถม้าคันละ 10,000 MMK เมืองอังวะนี้เคยเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมาก่อน แต่หลังจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้เมืองนี้ถูกปล่อยปละละเลย ถึงตอนนี้กลายเป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวไปในที่สุด
สำหรับวัดที่เราได้ไปดูก็มี Daw Gyan Pagoda Complex วัดที่เราขอลงไปเดินดูเอง ด้านในไม่มีอะไรมาก, Bagaya Monastery เป็นวัดไม้สักเหมือนวัดในมัณฑะเลย์แต่ว่าทรุดโทรมกว่ามาก, Yandana Sinme Pagoda วัดนี้โดนไฟไหม้และเหลือแต่ซากปรักหักพัง, Nanmyin Tower เป็นหอคอยที่ไม่ได้อนุญาตให้ขึ้นไปเนื่องจากดูแล้วน่าจะพังได้ และวัดสุดท้ายคือ မဟာဘောဓိအောင်မြေ ဆုတောင်းပြည့် ไม่รู้ว่าภาษาอังกฤษว่ายังไง วัดนี้เป็นวัดสีเหลืองสวยงาม เป็นวัดที่มีขนาดใหญ่อยู่เหมือนกัน เรานั่งปุเลงปุเลงบนรถม้าจนบ่าย เพื่อกลับไปเตรียมตัวเดินทางไปยังเมืองต่อไปด้วยรถบัส
Trip: อาหารพม่าตามโรงน้ำชาที่ผู้ชายพม่านิยมไปนั่งจิบชากันยามบ่ายนั้น เข้าไปแล้วสั่ง Shan Noodle ดูนะ เป็นอาหารที่เราชื่นชอบมาก